เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o พ.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ สำนวนไทยเขาบอก “วันพระไม่มีหนเดียว” ถ้าวันพระไม่มีหนเดียวเขาจะเอาคืนไง แต่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

ถ้าไม่จองเวร เวลาพูดทำไมพูดเสียงดัง? พูดเสียงดังมันพูดถึงใจ มันถึงใจมันก็ถึงกิเลส ถ้าไม่ถึงกิเลสนะ ลูบๆ คลำๆ กันอยู่นะ เราก็ลูบๆ คลำๆ เขาก็ลูบๆ คลำๆ แล้วลูบๆ คลำๆ งูๆ ปลาๆ มันไม่ชัดไม่เจนไง ถ้ามันชัดเจนนะมันต้องชัดเจน แต่มันไม่ใช่ความอาฆาตมาดร้ายหรอก

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ไม่จองเวรไม่จองกรรมต่อกัน มันจะมีสิ่งใดที่ไปอาฆาตมาดร้าย เห็นไหม แต่ แต่ที่เขาว่าวันพระไม่ได้มีหนเดียว ไม่มีหนเดียวเพราะอะไร? เพราะวันพระมันมีแล้วมีเล่า วันพระมีแล้วมีเล่าเพราะอะไร? เพราะให้เราได้ยืนขึ้นมาไง เราล้มลุกคลุกคลานแล้วเราก็ต้องตื่นตัวขึ้นมา วันพระนี้เราปฏิบัติไม่ได้ วันพระหน้าเราจะเอาให้ได้ วันพระต่อไปเราจะพยายามต่อไป

เราปฏิบัติเริ่มต้นนะ อยู่ในป่าในเขานะ ถ้าวันพระต้องเนสัชชิก ปกติวันพระนี่ถือว่าไม่นอน ถ้าวันปกติภาวนาเต็มที่อยู่แล้ว ถ้าวันพระเนสัชชิกเลย พอถึงวันพระเขาเอาจริงเอาจังกันนะ ฉะนั้น วันพระเป็นวันที่ให้เราเข้มแข็ง ฉะนั้น สิ่งที่เราเข้มแข็ง เห็นไหม ทีนี้ทางสำนวนไทย วันพระไม่ได้มีหนเดียวใช่ไหม? คราวนี้เราพ่ายแพ้ คราวหน้าเราจะเอาชนะคะคาน อันนั้นมันเป็นเรื่องการผูกเวรผูกกรรม

“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” เราไม่จองเวรจองกรรมต่อกัน ต่อไปเรื่องของจิต เรื่องของบุคคลภายนอก เพราะจองเวรจองกรรมต่อกัน เห็นไหม ดูสิเวรกรรมมันก็จะส่งผลไปต่อเนื่อง แต่ถ้าเป็นกิเลสนะ กิเลสเราต้องฆ่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “การฆ่าที่ประเสริฐที่สุดคือการฆ่ากิเลส”

ถ้าเราจะฆ่ากิเลส กิเลสมันอยู่ที่ไหน? ถ้ากิเลสเราไปลูบๆ คลำๆ มันอยู่นะ เราไม่จองเวรมัน เราอนุโลมให้มัน เราผ่อนคลายให้กิเลสได้ไหม? เวลากิเลสขึ้นมา ดูสิเวลาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย เวลาหมอไปรักษาเขารักษาให้หายขาด ถ้ารักษาแล้วไม่หายขาดกลับบ้าน เดี๋ยวก็เป็นอีก

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะชำระกิเลสนะ ไม่ได้ มันจะเป็นการรุนแรงเกินไป เราทำสิ่งใดมันก็ไปเกรงใจกิเลสไง ถ้าเกรงใจกิเลสมันก็ชำระกิเลสไม่ได้ เพราะทำให้มันสลบไปนะ ทำให้มันยุบยอบไป เวลามันฟื้นขึ้นมานะมันเอาเรามากกว่านั้นอีก ถ้ามากกว่านั้น เวลาเราปฏิบัติ เวลาจิตเราดีเราจะดีมากเลย เวลาจิตมันเสื่อมทำไมมันท้อถอยขนาดนั้นล่ะ?

เวลาจิตเราเสื่อม ดูสิเวลาเราสดชื่น เราทำสิ่งใดเราตั้งเป้า เราทำไปเรามีความปรารถนานะ เราเหมือนหยิบเอาได้เลย พอทำไปๆ นะทำไมมันท้อแท้ ทำไมมันอ่อนแอ ทำไมมันไม่สู้ล่ะ? ถ้ามันไม่สู้เพราะอะไร? ดูสิว่าแก่นของกิเลสไง กิเลสเป็นนามธรรม แต่มันอยู่ที่หัวใจเรานี่ สิ่งที่เหนียวแน่นที่สุดคือแก่นของกิเลส เพราะอะไร? ดูสิบุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไปไม่มีต้น ไม่มีปลาย มันฟูมฟักกันมาไง

จิตเวียนตายเวียนเกิดขึ้นมา มันฟูมฟักไปด้วยกิเลส กิเลสมันครอบงำมา กิเลสกับจิตมันมาด้วยกันตลอด ตลอดสายที่มันสร้างสมกันมา แล้วบอกมาชาตินี้เราบอกให้มันแยกจากกัน แล้วเราจะเอาธรรมะเข้าไป ตอกลิ่มเข้าไปให้กิเลสกับธรรมแยกออกจากกัน ให้กิเลสออกจากหัวใจไป มันเป็นไปได้ง่ายๆ ไหม? ถ้าเป็นไปได้ง่ายๆ นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่เสวยวิมุตติสุขนะ แล้วจะสอนใคร มันจะสอนใครได้อย่างไร? สอนใครได้อย่างไร?

ก็เหมือนดูสิ ขัดเกลากิเลส ขัดเกลาตัวเรา นี่เราขัดเกลาเราก็ต้องฝืนใจเรา ฝืนความรู้สึกของเรา เพราะความรู้สึกของเรานั่นแหละกิเลส ความรู้สึกเราด้วย กิเลสมันอยู่ในความรู้สึกของเราด้วย ถ้าเราไม่ฝืนมันเราก็ไม่ได้ต่อสู้กับมัน ถ้าจะฝืนมันนะ อืม นี่เป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา เวลากิเลสมันก็เป็นเรา ถ้าเป็นเรา เราจะไม่ให้เป็นเราทำอย่างไร? เราก็ต้องเอาเรานี่มาพิจารณา เวลาหลวงตาท่านพิจารณาของท่านไป โลกนี้เป็นความว่าง ว่างหมดเลย นี่พอความว่างมันมหัศจรรย์ จิตเราทำไมมหัศจรรย์ขนาดนี้ มองภูเขาเลากาทะลุปรุโปร่งไปหมดเลย ทำไมมันมหัศจรรย์ขนาดนี้ มหัศจรรย์ขนาดนี้

นี่กิเลสเป็นเรา มันยังยึดมั่นกันไปนะ ยังว่าของของเราอยู่ไง สุดท้ายแล้วท่านพิจารณาของท่านไปนะ พิจารณาของท่านไป พิจารณาถึงที่สุดไปเห็นจุดและต่อม พอเห็นจุดและต่อมท่านพิจารณาของท่านจุดและต่อม เพราะความว่าง แสงสว่างเกิดจากอะไรล่ะ? พลังงานมันเกิดมาจากไหน? แสงสว่างมันเกิดมาจากอะไร? ความว่างมันมีเจ้าของเป็นความว่างสิ พอมันจับได้ เห็นไหม พอมันทำลายจุดและต่อม ความว่างจบสิ้น ทุกอย่างไม่มี พอไม่มีขึ้นมาความว่างเป็นเหมือนกองขี้ควาย

สิ่งที่เวลาเราไปมหัศจรรย์กับมันนะ เราทะนุถนอมมันนะ มหัศจรรย์เต็มที่เลยนะ พอมันชำระไป มันทะลุปรุโปร่งไป เห็นไหม สิ่งที่เราไปทะนุถนอมนี่มันกองขี้ควาย แต่ก่อนหน้านั้นเราไปเห็นเข้า เราไม่เคยเจอ โอ้โฮ ทำไมมันมหัศจรรย์ขนาดนี้ จิตเราทำไมมหัศจรรย์ขนาดนี้ มันทะลุปรุโปร่ง มองภูเขาเลากามันเรืองแสง มันทะลุไปหมดเลย มองสิ่งใดทำไมมันขนาดนั้น

นี่มันก็ไปกอดไว้ไง โอ้ นี่เป็นเรา นี่ว่างมันคู่กับไม่ว่าง ถ้าจิตมันดีมันพิจารณามันก็ว่าง แต่ถ้ามันเสื่อมลงมันก็มีตัวตนของมัน มันก็ขัดข้องหมองใจ เวลามันว่างมันก็ดีอกดีใจนะ แล้วถ้าไม่พิจารณาต่อไปใช่ไหม มันก็อยู่ของมัน แล้วเวลามันเสื่อมมันก็คือเสื่อม แต่เพราะมีสติปัญญา เห็นไหม ทะลุปรุโปร่ง ยังต่อสู้ต่อไป ยังพิจารณาต่อเนื่องต่อไป

พอต่อเนื่องทำลายหมดแล้วนะ อืม ความว่างเหมือนกองขี้ควาย กองขี้ควายเพราะอะไร? กองขี้ควายมันมีค่าไหม? มันไม่มีค่าเพราะเราสลัดทิ้งมันไป แต่ถ้าบอกว่าไม่มีค่า ทางโลกเขาบอกเอาไปทำปุ๋ยนะ เป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้ อันนั้นนี่กิเลสมันจะอ้างแล้ว เวลามันจะอ้างนะมันก็ยังมีค่าอยู่ มันก็ยังมีค่าอยู่ ถ้ามันยังมีค่าอยู่เพราะเรายังสติปัญญาไม่พอ

มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียดนะ มรรคหยาบๆ เช่น เรามาวัด มาวัดเราก็ขวนขวายมาแล้ว นี่ถ้าคนเริ่มต้นก็อู้ฮู นี่ขวนขวาย ปากกัดตีนถีบขนาดนี้ แล้วทำบุญทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้? เวลาทุกข์ยากขนาดนี้นะ เราทำของเราจนเรามั่นใจของเรา เราทำของเรานะ เราเสียสละของเรา ถ้าไม่เสียสละของเรา จิตใจนี่นะมันเป็นธาตุรู้ ธรรมชาติของสิ่งที่รู้มันต้องรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่ดูแลรักษามัน มันก็จะรู้ตามใจมัน ถ้ารู้ตามใจมันนะ มันก็จะหาแต่ความพอใจของมันใช่ไหม? นี่ต้องทำตามใจมัน ทำตามตัณหา ทำตามกิเลสมัน แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม เราบังคับให้ทำคุณงามความดี คุณงามความดีคือการให้ การเสียสละ

การให้เขาบอกต้องให้วัตถุใช่ไหม? เราให้อภัย เราให้ไม่มีความผูกโกรธ เราพยายามรักษาใจของเรา นี่ก็เป็นการให้นะ ให้ที่ประเสริฐ เวลาภาวนาขึ้นมา สิ่งนี้เราไม่ต้องลงทุนลงแรงเลย เราลงทุนแต่จิตใจกับร่างกาย นั่งสมาธิ ภาวนา เราบอกว่าเราไม่มีโอกาส โอกาสมันมีทั้งนั้นแหละถ้าคนรู้จักขวนขวาย รู้จักแสวงหา ถ้าเป็นโอกาส

ฉะนั้น ถ้าเรามีสติปัญญาเราต้องรักษาใจเราให้มันฝึกหัด ให้มันเสียสละ ถ้ามันเสียสละเพื่อให้ประโยชน์ ถ้าเรามีสิ่งใดจะเป็นประโยชน์กับเรา เราใช้ก็เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าให้คนอื่นได้ใช้ด้วยก็เป็นประโยชน์ เห็นไหม ประโยชน์ ๒ ต่อ ๓ ต่อ มันเป็นประโยชน์ต่อเนื่องๆ ไป พอจิตใจมันเห็นประโยชน์ขึ้นมามันพอใจแล้ว พอมันพอใจจิตใจมันก็เป็นสาธารณะขึ้นมา

ถ้ามันจะเริ่มมาปฏิบัติ ดูสิเวลาคนเขาปฏิบัติ เวลาเขาอยากปฏิบัติ เขานั่งไปแล้วเขาสงบเสงี่ยม เขาระงับของเขา เขามีความสุขของเขา ไอ้เราจะนั่งลงไป กดตัวลงนั่งมันยังไม่ยอมนั่ง มันจะพุ่งออกข้างนอก เพราะอะไร? เพราะจิตใจเราไม่ได้ฝึกมา เราไม่ได้รักษาของเรา ถ้าเรารักษาของเรามานะ พอเราจะนั่งของเรามันพอใจนะ พอมันพอใจ มันนั่งเพราะอะไร? เพราะมันรู้จักว่าเราจะเอาสมบัติของเรา นี่ถ้าเรานั่งเพื่อความสงบระงับ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี คนที่เขามีแก้ว แหวน เงิน ทอง เขามีทรัพย์สมบัติของเขา เขาแสวงหาเพื่อประโยชน์ของเขา

นี่มันมีตัณหาความทะยานอยาก คือว่ามันมีสารพิษ มีสิ่งที่หมักหมมในใจไปตลอดไม่มีที่สิ้นสุด เราเห็นคุณสมบัติอย่างนั้น สิ่งนั้นเราได้เสียสละแล้ว ทรัพย์สมบัติ เห็นไหม เราสละทานเราก็ทำของเรามาแล้ว นี่จิตใจที่เราจะเอาความสงบระงับขึ้นมาเพื่อให้มันเป็นอริยทรัพย์ เพื่อสิ่งที่เราจับต้องได้ แก้ว แหวน เงิน ทองนี่เขาจับต้องได้ เงินนี่เขานับได้ สติพุทโธ พุทโธ สติมี เราระลึกพุทโธ เรานับของเราได้ไหม? ถ้าเรานับของเราขึ้นมา ถ้ามันสงบเข้ามา ธาตุรู้ ธรรมธาตุที่รู้มันไม่รู้ออกไปข้างนอก มันรู้ตัวมันเองแล้ว

ธาตุรู้มันรู้ออกไปข้างนอก ไฟฟ้ามันส่งออกทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเรามีสติปัญญา ไอ้ธาตุรู้มันไม่ส่งออกไป ให้รวมตัวเข้ามา นี่พุทโธก็นาโน เห็นไหม พุทโธๆ นี่สิ่งที่ละเอียดที่สุดมันซับซ้อนกัน ซับซ้อนกันจนมันมั่นคงขึ้นมา พอมันมั่นคงขึ้นมา นี่ทรัพย์ของเราเกิดแล้วนะ เราบอกว่าเราเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ง. นะ มันพ่อแม่ตั้งให้ เพื่อนฝูงเรียกกัน ตัวมันเองมันไม่รู้จักตัวมันเอง พอจิตมันสงบนะ อึ๊.. อ๋อ.. เราเป็นอย่างนี้หรือ เราเป็นอย่างนี้หรือ มันจะเห็นคุณค่าของมัน

ทรัพย์ที่มีค่ามากคือความรู้สึกของเรา หัวใจมีค่ามาก นี้หัวใจของเรา ดูสิมันคิดดีก็ได้ คิดร้ายก็ได้ใช่ไหม? แล้วไม่มีใครควบคุมมันใช่ไหม? แต่นี่วันนี้วันพระ วันพระไม่ได้มีหนเดียวใช่ไหม? เราเข้าใจผิดมาเราก็ยอมรับ เราทำสิ่งใดที่มันไม่ได้ประโยชน์มาเราก็ยอมรับ วันพระแล้ววันพระเล่าก็ฝึกแล้วฝึกเล่า วันพระนี่เขามีไว้ให้เราฝึกฝน วันพระเขาให้มีเข้าวัดเข้าวา วันพระเขาให้มีวัดหัวใจของเรา

ข้อวัตรปฏิบัติคือวัดหัวใจของเรา หัวใจเราดีหรือหัวใจเราไม่ดี เรารู้เอง หัวใจนี่ดีหรือไม่ดี เราคิดดีหรือเราคิดไม่ดี ตัวเราเองนี่รู้ แล้วทำไมมันคิดดีไม่ได้? ทำไมมันฝืนตัวเองไม่ได้? มันฝืนตัวเองไม่ได้เพราะมันไม่ได้ฝึกหัด มันไม่ได้ตั้งสติ มันไม่เคยฝึกหัดของมันเลย มันไม่เคยฝึกหัดมันก็เอาแต่ใจของตัวเอง เห็นไหม ปล่อยใจให้มันคิดตามใจของมัน แต่เราฝึกหัดตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้ให้มันฝึกหัดคิดดี คิดดีไม่ต้องคิดถึงคนอื่นหรอก คิดถึงตัวเรานี่แหละคิดดี

นี่เราจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือเราไปใช่ไหม? เราเกิดมาชาติหนึ่ง ดูสิผลของวัฏฏะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นนรกอเวจี มันเวียนตายเวียนเกิดมาโดยที่ความไม่รู้ของมัน กิเลสมันพาเกิดมากี่ภพกี่ชาติแล้ว ในชาติปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ เกิดมาเป็นทารก พ่อแม่เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย เดี๋ยวนี้เติบโตขึ้นมาจนเป็นหนุ่มเป็นสาว มันต้องมีสติปัญญารักษาตัวเองได้

ถ้ารักษาตัวเองได้รักษาตัวเองที่ไหน? รักษาตัวเองได้ทางโลกก็รักษาว่า เพราะเรามีหน้าที่การงาน เรามีทรัพย์สมบัติ เรามีปัจจัยเครื่องอาศัยพร้อมสมบูรณ์ นั่นรักษาตัวเองแล้วหรือ? รักษาตัวเอง เห็นไหม นี่เพราะรักษาตัวอย่างนั้นมันก็ต้องตายไปใช่ไหม? พอมันต้องตายก็ไปเกิดอีกใช่ไหม? แล้วมันก็จะเวียนมาอย่างนี้อีกใช่ไหม? นี่เราถึงว่าเกิดมาตายเปล่า เกิดมานี่มีทรัพย์สมบัติก็ไว้ทางโลก เวลาตายไปแล้วมันต้องพลัดพรากจากทรัพย์สมบัตินี้ไป แล้วคุณงามความดีของเราล่ะ? แล้วทรัพย์สมบัติของเราล่ะ?

ถ้าทรัพย์สมบัติของเรา ถ้าเราจะไม่สูญเปล่าเราก็ตั้งสติของเราขึ้นมา เราฝึกหัดใจของเราขึ้นมา ถ้ามันฝึกหัดใจของเราขึ้นมา เห็นไหม ไอ้ชื่อในทะเบียนบ้านมันชื่อสมมุติ พอเวลาไปเปลี่ยนมันก็เปลี่ยนแล้วล่ะ แต่ไอ้ธาตุรู้เรานี่ไม่มีใครที่ไปรู้สึกมัน เรามีสติปัญญาจับต้องมันได้ แล้วถ้าฝึกหัดนี่วันพระไม่ได้มีหนเดียว จิตสงบแล้วภาวนาไม่ได้ มันหลุดไม้หลุดมือไป วันพระหน้าเราก็สู้อีก เราก็พิจารณาอีก ถ้าจิตมันสงบแล้วมันหัดใช้ปัญญาของเรา ถ้ามันใช้ปัญญาของเรา เห็นไหม มันพิจารณาอะไรล่ะ? มันพิจารณาในกาย

ในกายที่เกิดมา นี่เกิดมาจากอริยทรัพย์ เกิดมาเพราะได้ร่างกายของมนุษย์นี้มา เราก็ว่าเป็นของเราๆ ไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วยจะให้เป็นสมบัติของเราอยู่นี่ เวลาจิตมันสงบไปแล้วมันจับของมันได้ มันเห็นกายอีกมิติหนึ่ง มิติของกายเรานะ

เราก็นี่ไง นี่ไปเสริมสวย ไปดึงให้มันเต่งตึงมันจะไม่แก่ไง นี่มิติของโลกมันก็จะไม่ยอมแก่ ไม่ยอมตาย แต่ถ้ามิติของธรรม เห็นไหม นี่มิติของธรรม พอมันเห็น มันพิจารณากาย อืม มันไม่มีสิ่งใดที่จะไปคัดง้างมันได้

สัจธรรมความจริงมันเป็นแบบนี้ ความจริงมันเป็นแบบนี้ ความจริงมันต้องเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ แต่เพราะไอ้หัวใจของเรา ไอ้ความไม่รู้ของเราจะไปฝืนมัน จะไปฝืนความจริงให้เป็นความพอใจของเรา มันฝืนไม่ได้หรอก แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมานะมันรู้ตามความเป็นจริง เห็นไหม พอรู้ตามความเป็นจริง จิตนี้มันฝึกขึ้นมาจากความจริงอีกทีหนึ่ง เวลาพิจารณากาย นี่กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ จิตรวมลง มันผุดขึ้นมา นี่ดอกบัวเกิดจากโคลนตมไง

นี่ความมหัศจรรย์ สิ่งที่เป็นสมบัติของเรามันผุดขึ้นมาจากกลางหัวอกของเรา กลางหัวใจคือความรู้สึกของเรา ธรรมะมันเกิดอย่างนี้ เห็นไหม ถ้าธรรมะมันเกิดขึ้นมา นี่วันพระไม่ได้มีหนเดียวเขาให้ทำอย่างนี้ไง ถ้าดอกบัวมันผุดจากโคลนตม ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราทำ เราฝึกหัดหัวใจของเราขึ้นมา ให้มันเกิดอริยทรัพย์ขึ้นมา นี่ทรัพย์สมบัติของเรา ทรัพย์สมบัติของโลกเราก็หา นี่ถ้าเราเกิดมาเรามาหาเพราะอะไร? เพราะคนดี คนดีต้องทำความดีมาตลอดต่อเนื่องมา เพราะธรรมะนี่ต้องอาศัยความดีไป

มรรคไง สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง ความเห็นดีงาม แต่ความถูกต้องมันก็ถูกต้องมาเรื่อยๆ อย่างเช่น เราเสียสละทาน เห็นไหม ปากกัดตีนถีบกันมานะ แต่เวลาปากกัดตีนถีบแล้ว เราจะเอาความจริงขึ้นมามันต้องปากกัดตีนถีบในใจอีกทีหนึ่ง เพราะสติปัญญามันเป็นนามธรรมแล้ว มันปากกัดตีนถีบจากหัวใจ นี่เราปากกัดตีนถีบมาจากการแสวงหาสมบัติ นี่เราก็ปากกัดตีนถีบมาแล้วรอบหนึ่ง ถ้าเราจะปากกัดตีนถีบเพื่อจะเอาความสงบระงับ เอาสมบัติจากภายในขึ้นมามันก็เป็นอีกรอบหนึ่ง มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียดมันจะเติมไปเรื่อยๆ

ถ้ามันทำขึ้นมา นี่สมบัติโลกเราก็หา สมบัติความจริงเราก็หา แล้วถ้าหามัน หาได้ตามความเป็นจริงขึ้นมา มันจะเป็นความจริงของเรา นี่สมบัติของเรา วันพระไม่ได้มีหนเดียวนะ วันพระ เห็นไหม ในพรรษา ๖ ปักษ์ไงเวลาอุโบสถ แต่วันพระก็เดือนละ ๔ หน นี่ทุกอาทิตย์ นี่วันพระ สมัยโบราณของเรานะเราหยุดวันโกน วันพระ แต่เพราะว่าเราตามกระแสโลก เราไปหยุดวันเสาร์ วันอาทิตย์ ทีนี้พอหยุดวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระเราก็ห่างวัดห่างวากันไป เพราะเวลามันไม่มี

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาเราต้องเข้าใจโลก เราอยู่กับโลกเราเข้าใจโลก ต้องการให้ทันโลกใช่ไหม? แต่เราต้องการให้ทันตัวเรา ถ้าเราให้ทันตัวเรา สติปัญญามันทันตัวเรานะ ถ้าทันตัวเรา เห็นไหม ความคิดที่จะเข้ามาแย่งชิง แย่งชิงเลย แย่งชิงเวลาของเราไป แย่งชิงชีวิตของเราไป อายุที่ได้มาคือเวลาที่เสียไป สิ่งที่เราเสียไปตลอด แล้วนี่ถ้าเราได้สมบัติของเราเข้ามา นี่สมบัติของเรา สมบัติโลกก็หานะ เกิดมาเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ เพราะเป็นสัตว์ประเสริฐ

สัตว์ประเสริฐ ถ้าใครมีสติปัญญาจะหาอริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายใน ถ้าใครยังไม่มีสติปัญญาก็จะแสวงหาทรัพย์จากภายนอก แล้วก็บ่นว่าทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ เกิดมาทุกข์มาก ทำงานลำบากมาก แต่เวลาพระเราปฏิบัติ เห็นไหม เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาอยู่โคนต้นไม้ ต้องเอาใจไว้ในอำนาจของเรา ถ้าเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรามันเป็นสัมมาสมาธิ แล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญา มันจะมีงานอีกชั้นหนึ่ง เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง ไม่สูญเปล่า ไม่เสียเปล่ากับเวลาชาติที่เกิดมา ชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ให้มีความสุขตามอัตภาพของความเป็นชาวพุทธ แต่ถ้าใครมีสติปัญญาค้นคว้าแสวงหานะ

จิตอันนี้จิตที่มีคุณค่ามาก ดูสิเราหาสมบัติมาขนาดไหน? หน้าที่การงานเราขนาดไหน? แล้วเราก็ต้องพลัดพรากจากมันไปเด็ดขาด สัจจะความจริงมันเป็นแบบนั้น แต่เวลาพลัดพรากไป แล้วเรายังต้องมาย้ำคิดย้ำทำ มาซับซ้อนกับการเกิดการตายแบบนี้อีกหรือ? แต่ถ้าเราพิจารณาของเรา ใช้สติปัญญาของเรา พิจารณาของเราไปจบนะ พอจบขึ้นไปแล้วนะเราไม่ต้องตีนเท่าฝาหอยให้พ่อแม่เลี้ยงอีก แล้วโตขึ้นมานะก็ยังซื่อบื้อ ไม่รู้จักความจริงแท้ ความจริงเทียม

ความจริงโลกนี้เป็นความจริงโดยสมมุติ ความจริงเทียม ความจริงแท้ๆ เราเห็นความแท้ๆ แล้วจิตมันปล่อยวาง จิตมันสลัดทิ้ง มันจะเกิดดอกบัวเกิดขึ้นมาจากกลางหัวอกของเรา เห็นไหม ดอกบัวเกิดจากโคลนตม ดอกบัวเกิดจากความทุกข์ ความเศร้า ความรำพึงรำพัน นี่ความรำพึงรำพันมันเป็นเรื่องของกิเลสปกคลุมอยู่ ถ้าใช้สติปัญญาแยกแยะ แสวงหา พยายามถอดถอนมัน นี่ดอกบัวจะเกิดจากโคลนตม เกิดจากความทุกข์ความยากเรานี่แหละ มันไม่เกิดมาจากฟ้าหรอก มันไม่มี มันเกิดจากความทุกข์ความยาก ความขยันหมั่นเพียร ความวิริยะอุตสาหะ นี่ธรรมของเราเกิดขึ้นมา ดอกบัวมันจะเกิดที่นี่

ฉะนั้น เราทำของเราตามอำนาจวาสนาของเรา อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ อย่ามองคนอื่น ทำไมคนนู้นทำง่าย คนนี้ทำง่าย ไอ้ที่เขาว่าเขาง่าย เขาได้ขึ้นมานี่จริงหรือเปล่า? จริงหรือเปล่า? ถ้ามันรู้ มันจริงขึ้นมานะ มันจะเป็นอยู่กลางหัวอกของเรา เราทำจริงของเราขึ้นมานะ แล้วเราจะไม่เกิดสูญเปล่า วันพระไม่ได้มีหนเดียว เอวัง